“อากงจุน” ที่บริจาค มูลนิธิรามาฯ 900 ล. ติดอันดับมหาเศรษฐีใจบุญแห่งเอเชีย “เด็กก้าวไกล” จี้ ดีลจนลืม “ปชช.”

อาจจะไม่เห็น “Forbes” เป็น “สลิ่ม” หลังชื่นชม “อากงจุน” ผู้ก่อตั้ง ฮาตาริ ติดอันดับมหาเศรษฐี ใจบุญแห่งเอเชีย นักประวัติศาสตร์ แนะจำต้องแก้ ม.112 เข้มขึ้น ไม่ใช่ให้เสื่อมลง “เด็กก้าวไกล” สุดทนนักเลือกตั้ง มัวแต่ดีลจนถึงลืม ประชาชน

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (14 ธ.ค. 65) เพจเฟซบุ๊ก ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ โพสต์ภาพ พร้อมแชร์ CocoNews บอกว่า

อากงจุน2

“Forbes ชมเชย “อากงจุน” ผู้ก่อตั้งฮาตาริ ติดอันดับมหาเศรษฐีใจดีแห่งเอเชีย

วารสาร Forbes ได้ประกาศทำเนียบรายชื่อ ฮีโร่ผู้ใจดีแห่งเอเชีย Asia’s 2022 Heroes of Philanthropy ครั้งที่ 16 โดยได้จัดอันดับมหาเศรษฐีผู้ใจดีทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่ได้อุทิศเงินทองส่วนตัวช่วยเหลือการบุญ ทั้งในด้านการศึกษา ด้านสภาพแวดล้อม รวมทั้ง ด้านสังคม

โดยในปีนี้ มี 1 คนไทยติดอันดับด้วย ซึ่งก็ไม่ใช่ใครไหน คือ “อากงจุน” นายจุน วนวิทย์ ผู้จัดตั้งบริษัทพัดลม ฮาตาริ นั่นเอง

โดยในปีนี้ รายนามผู้ที่ได้รับเลือกสรรมีทั้งสิ้น 15 คน อาทิ Melanie Perkins และก็ Cliff Obrecht ผู้ร่วมตั้งแอปฯ มีชื่อเสียงอย่าง Canva ที่เซ็นชื่อในพันธสัญญาว่า จะบริจาคเงินที่ได้จากแอปฯ เพื่อช่วยเหลือองค์กรการบุญต่าง ๆ

และยังมี ฮิโรชิ มิกิตานิ ผู้จัดตั้ง รวมทั้ง ซีอีโอ ของแพลตฟอร์มชอปปิ้งออนไลน์ Rakuten ที่บริจาคเงินช่วยเหลือองค์กร ที่ช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม เป็นปริมาณมากมายก่ายกอง

ในช่วงเวลาที่ อากงจุน ก็ได้รับการคัดเลือก จากเรื่องราว เมื่อ สิงหาคม ก่อนหน้านี้ หลังครอบครัว วนวิทย์ ได้บริจาคเงินส่วนตัว กว่า 900 ล้านบาท ให้กับมูลนิธิรามาธิบดี

โดยทางมูลนิธิฯ ได้ออกมาขอบคุณมาก และก็ ยังเผยอีกว่า อากงจุน และก็ ครอบครัว บริจาคเงินช่วยเหลือทุน แผนการต่าง ๆ นับจากปี 2551 จนถึงปัจจุบันนี้ เป็นยอดเงินช่วยเหลือ รวมทั้งสิ้น 1,317,397,000 บาท

ทั้งนี้ ตอนวันที่ 28 เดือนกรกฎาคม 2565 เว็บสถาบันแนวทางไทย โพสต์หัวข้อสามนิ้ว วิตกจริต!? เสือกไส “ฮาตาริ” อยู่ฝั่งตรงข้ามทางด้านการเมือง เพียงแค่เพราะเหตุว่า บริจาคเงิน 900 ล้าน ให้มูลนิธิรามาธิบดีฯ โดย XXPiYaXX

เรื่องราวบอกว่า ต่อเนื่องจากกรณี นายจุน วนวิทย์ หรือ อากงจุน ผู้ก่อตั้งฮาตาริ แล้วก็ ครอบครัว ได้ร่วมบริจาคเงิน 900,000,000 บาท แก่มูลนิธิรามาธิบดีฯ โดยมี ศาสตราจารย์ หมอปิยะมิตร ศรีธรา คณบดี แผนกแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล พร้อม รองศาสตราจารย์ ดร.พูลสุข เจนพานิชย์ วิสุทธิพันธ์ ผู้อำนวยการสถานศึกษาพยาบาลรามาธิบดี แล้วก็ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ หมอภาวิทย์ เพียรวิจิตร รองคณบดีฝ่ายสื่อสารองค์กร เป็นตัวแทนร่วมรับมอบ

ซึ่งถือได้ว่าเรื่องราวดี ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ถูกแชร์ไปในโซเชียลเยอะมาก ทำให้มีชาวเน็ตเข้ามาอนุโมทนา กับการบริจาคเงินปริมาณเป็นอันมากในครั้งนี้ ที่สามารถรักษา รวมทั้ง ช่วยเหลือผู้คนได้อีกมากมาย

แต่แล้วดูเหมือน คนดีในสังคมจะต้องมีมารมาผจญ เมื่อมีฝูงชนบ้าการเมืองฝั่งสามนิ้ว เริ่มเข้ามาโจมตี นายจุน แล้วก็ ครอบครัว ว่า เพราะเหตุไรจำเป็นต้องบริจาคให้กับมูลนิธิรามาธิบดีฯ ถึงขนาดผลักใส ให้อยู่อีกฝั่ง ในทางการเมืองโดยทันที

โดยเพจสาธารณะ The METTAD ได้โพสต์ เรื่องดังกล่าวซึ่งมีเนื้อหาว่า

มีคนบริจาคให้มูลนิธิของโรงพยาบาล กระแสในเฟซมี 2 ทาง

– คนปกติ 1 อนุโมทนา ช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์เป็นสิ่งดี โอกาสหน้าจะอุดหนุน
– คนปกติ 2 เพราะเหตุไรต้องผลักมูลนิธินี้เป็นสลิ่ม แล้วก็ พิมพ์อะไรบ้าคลั่งอีกยาวยืด

ทำให้มีประชาชนเยอะแยะ ต่างเกิดความรู้สึกว่าไม่ชอบใจ ที่พากเพียรผลักคนที่ช่วยเหลือสังคม ให้เลือกฝั่งทางด้านการเมือง โดยมีเนื้อหาว่า

“ถ้าหาก Hatari บริจาคให้โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ มันคงจะเต้นหนักกว่านี้นะครับ”

“ก็มีแต่พวกสัตว์นรก 3 กีบ ที่เดือดดาลกับคนทำบุญ”

“คนไม่ปกติคือคนที่แยกแยะไม่ออก ว่า เงินบริจาคทำเพื่อใคร เพื่อประโยชน์อะไร ไม่ว่าแหล่งที่มาของเงินมาจากกลุ่มใครก็ตาม

ปล. ต่อให้กีบบริจาค คนปกติก็ควรร่วมอนุโมทนาบุญด้วยเช่นกัน”

“คนที่สอง น่าจะวิกลจริตนะ”

“ไอ้ปกติที่ 2 มันนร้อนๆ นะครับ”

“คนไม่ปกติ 3 เป็นพวกเห็นแก่ตัว เป็นพวกที่จะเอาแต่ประโยชน์เข้าตัวเองอย่างเดียว แถมอิจฉา เวลาคนอื่นทำประโยชน์ หรือทำเรื่องดีให้สังคม ต้องออกมาดิสเครดิตกัน”

อากงจุน3

ช่วงเวลาเดียวกัน นาย เทพมนตรี ลิมปพยอม นักประวัติศาสตร์ โพสต์ใจความผ่านเฟซบุ๊ก Thepmontri Limpaphayorm บอกว่า

“มาตรา 112 ต้องปรับปรุงแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้เข้มข้นขึ้น ไม่ใช่แก้ไขให้เสื่อมทรามลง เพื่อเปิดประตูให้พวกรู้น้อยแต่พูดมากมาแสดงความเห็นจาบจ้วงล่วงละเมิดให้ร้าย ทุกวันนี้ เราก็เห็นคนพูดมากรู้น้อยเยอะแยะไปหมด หรือพวกมโน ดรามาก็เยอะ”

ที่น่าดึงดูดไม่แพ้กัน เพจเฟซบุ๊ก การเมืองไทย ในกะลา แชร์ โพสต์เฟซบุ๊ก ของ จรยุทธ จตุรพรประสิทธิ์ ว่าที่ผู้สมัคร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขตยานนาวา – บางคอแหลม พรรคก้าวไกล หัวข้อ ใกล้เลือกตั้ง มีแต่ข่าวดีลรัฐบาล ไม่มีเวลาทำงานให้ประชาชน

โดยบอกว่า เมื่อไทม์ไลน์การเลือกตั้งใกล้มาทุกครั้ง กับข้อตกลงหาร 100 ที่แจ่มชัดแล้ว ก็เลยถึงเทศกาลแห่งการ ดีลรายวัน สวนกับการทำงานให้สามัญชน ที่ไม่จริงจังในตอนนี้

ยิ่งบรรดาพรรคเล็กมีความเห็นว่า คงไม่รอด กับการเลือกตั้งลักษณะนี้ จึงรีบควบรวมกันครึกโครม ส่วนพรรคใหญ่ ก็ช้อปกันสนุก สะท้อนปัญหาคลาสิกตลอดกาลของการเมืองไทย ที่พรรคการเมือง ยังไม่ใช่ตัวแทนของอุดมการณ์ แต่ลักษณะของสมการที่แปรผันไปกับการได้มาซึ่งอำนาจ เป็นหลัก หรือ ถ้าส่งผลประโยชน์ลงตัวก็พร้อมไปกับทุกขั้ว โดยไม่สน ว่าก่อนหน้าเคยพูดกับพสกนิกรไว้ว่าอย่างไร

เรื่องนี้ว่าแย่แล้ว แม้กระนั้นก็ยังเกิดเรื่องเชิงส่วนประกอบที่จะต้องแก้ปัญหากันไป แต่เรื่องใหญ่กว่านั้น คือ ระหว่างการดีลกันวุ่นวายปัจจุบันนี้ ปัญหาของประชากร ก็พลอยมิได้รับการปรับปรุงแก้ไขไปด้วย เป็นไม่เหลือสมาธิ จะทำงานบ้านงานเมืองกันแล้ว

ถ้าเกิดใครไม่เชื่อ ขอให้ทดลองไปเปิดทีวีหรือหนังสือพิมพ์ข่วงนี้ดู มีแต่ข่าวปัญหาภายในสังคมเต็มไปหมด ชีวิตราษฎรก็ทุกข์ยากลำบาก ทำมาหากินยากอย่างยิ่ง ยาบ้าก็มากมาย ฆ่ากันก็แยะ โรคระบาดก็กลับมา แต่ว่าไม่มีใครคิดเอาใจใส่

ขนาดพื้นที่โดนน้ำท่วมหนัก บ้านจมเป็นเดือน ๆ บางหลังก็ยังได้ชดเชยแค่หลักร้อย ดีหน่อยก็หลักพัน ทำงานกันราวกับไม่มีรัฐบาล ในนาทีนี้

เพราะฉะนั้น ก่อนพ่อแม่พี่น้องประชาชนจะทนทุกข์กันมากไปกว่านี้ อย่างไรผมก็ขอฝากถึงรัฐมนตรีทุกคน หัวหน้าพรรค ทุกพรรค รวมทั้ง หัวหน้ามุ้งต่าง ๆ ในรัฐบาลชุดนี้สักนิดสักหน่อยว่า จะดีลอะไรกันก็ทำไป แม้กระนั้นอย่าลืมตนเองว่าเป็นรัฐบาลอยู่ ยังมีบทบาทบริหารประเทศ ยังไงก็สละเวลามาดำเนินการกันบ้างนะครับ https://www.facebook.com/101372342567471/posts/180684211302950/

แน่ๆ, ใจความสำคัญที่น่าดึงดูด ก็คือ กรณี “Forbes” สรรเสริญ “อากงจุน” ผู้จัดตั้งฮาตาริ ติดอันดับมหาเศรษฐีใจดีแห่งทวีปเอเชีย ที่สะท้อนให้เห็น “ความดี” ไม่มี “ขั้ว” ทางการเมือง และไม่มีฝ่าย ถ้าแม้กระนั้นมีจิตใจเป็นกุศล รวมทั้ง เห็นแก่สังคมสาธารณะมากกว่าส่วนตัว

เรื่องจริง ไม่เพียง “มหาเศรษฐี” ทั้งหลายสมควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง อย่างน้อยก็คืนกำไรให้สังคมบ้าง ที่โกยไปแล้วมากมายมหาศาล

หากแต่ “ติ่ง” ทางการเมือง ก็ควรให้ “เครดิต” มากกว่า นำมาแบ่งฝัก แบ่งฝ่าย ด้านการเมือง เพราะไม่งั้น สังคมจะยิ่งอยู่ยาก และ ทางแคบลงไป จนแทบสร้างกำแพงกั้นเลยทีเดียว หรือไม่จริง!?